หน้าหลัก

     โรคภูมิแพ้

     หนังสือ     ผลิตภัณฑ์       แพทย์       แผนที่ Link

   www . allergyasthmathailand . com    
       
 

             

   
 

        

 
 

               ตัวไรฝุ่น house dust mite

 
 

      

 
 

               คงเคยได้ยินชื่อ "ตัวไรฝุ่น" กันมาบ้างใช่ไหมคะ มันเป็นผู้ร้ายของโรคภูมิแพ้ค่ะ
               เคยลองถามคนไข้หน้าใหม่ๆที่มาหาด้วยเรื่องของโรคภูมิแพ้ ไม่โรคใดก็โรคหนึ่ง เกือบทุกรายคุ้นกับชื่อของ"ตัวไรฝุ่น" นี้เป็นอย่างดี บางรายรู้ต่ออีกนิดว่า มันเป็นสัตว์ พบได้ตามฝุ่น แต่มีน้อยรายที่จะรู้ลึกซึ้งไปมากกว่านั้น ทั้งๆที่ป่วยเป็นภูมิแพ้มาตั้งหลายปีแล้ว


               ตัวไรฝุ่นนี่เป็นสัตว์ค่ะ มีชื่อภาษาฝรั่งว่า dust mite มีอยู่บนโลกเรามานานแล้ว แต่เราเพิ่งทราบว่ามันเป็นตัวต้นเหตุสำคัญของการแพ้ฝุ่นเมื่อ 30 ปีมานี้เองค่ะ


               โดยแพทย์พบว่า สารจากตัวไรฝุ่น ทั้งจากตัวมัน, เปลือกมัน,และจากอุจจาระของมัน
               เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคแพ้อากาศและโรคหอบหืด


               และพบว่าการลดปริมาณไรฝุ่นในบ้านของผู้ป่วยเหล่านี้ จะทำให้อาการของโรคทั้งสองดีขึ้น
และถ้าเราลดปริมาณไรฝุ่นในบ้านของเด็กที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรมว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้
(เช่น เด็กที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้ ) ก็จะสามารถลดการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กนั้นลงได้ด้วยค่ะ

 
 

      

 
 

               รู้จักตัวไรฝุ่นกันหน่อย

 
 

               ไรฝุ่นเป็น “แมง” ตอนเด็กๆ มีขา 6 ขา แต่พอโตขึ้นมีเพิ่มอีก 2 ขา รวมเป็น 8 ขา จึงไม่จัดเป็นแมลงค่
นอกจากนี้มันยังไม่มีตา ไม่มีระบบทางเดินหายใจด้วย
ตัวมันเล็กจิ๋ว แค่ 0.3 มิลลิเมตร เท่านั้น แถมยังตัวขาวใสเสียอีก จึงมองไม่เห็นด้วยตาเปล่ายากมาก
ถ้าใช้แว่นขยาย ส่องดูใน background ที่มืด อาจจะเห็นแค่เหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวไปมาบนผงฝุ่น
ตัวไรฝุ่นแต่ละตัว จะอึวันละประมาณ 20 ก้อน และเมื่อตัวของมันเล็กจิ๋ว อึของมันยิ่งเล็กกะจิ๋วหลิว
คือ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10-35 ไมครอน ซึ่งเท่ากับ 0.01 - 0.035 มิลลิเมตร
คิดง่ายๆว่า ถ้าเอาอึของมันวางเรียงต่อกัน 100 ก้อน จะได้ความยาวแค่ 1 มิลลิเมตรเท่านั้นเอง
และ เพราะอึของมันเล็กอย่างนี้จึงปลิวตามลมไปกับฝุ่นได้สบายเลยค่ะ
เขาบอกว่าในฝุ่นบ้าน 1 กรัม (หนักเท่ายาพาราเซตามอล 2 เม็ด) จะมีตัวไรฝุ่นประมาณ 1000 ตัว
และมีอึของมันอยู่ประมาณ 250,000 ชิ้นค่ะ
ไรฝุ่นชอบอาศัยอยู่ที่อุณหภูมิประมาณ 25? -30? ซ ความชื้นร้อยละ 75-80
               อย่างในบ้านของคนไทยเรานี่แหละ
               อาหารของมันคือ เศษผิวหนังและรังแคจากมนุษย์ และ สัตว์, เชื้อรา, เศษแมลง, ละอองเกสรต่างๆ
ว่ากันว่า เศษผิวหนัง 1 กรัม สามารถเลี้ยงไรฝุ่น 1,000,000 ตัว ได้ถึง 1 สัปดาห์
แหล่งที่พบตัวไรฝุ่นได้มากที่สุดในบ้าน คือ ที่นอน หมอน ผ้าห่ม พรม ผ้าม่าน เฟอร์นิเจอร์โดยเฉพาะที่หุ้มด้วยผ้า และตุ๊กตาขนฟู เพราะมีอุณหภูมิ ความชื้น และอาหาร ทุกอย่างครบตามที่มันต้องการ
เขาบอกกันมาว่า หมอนที่เราใช้มาแล้ว 2 ปีนั้น 10% ของน้ำหนักหมอนมาจากเจ้าตัวไรฝุ่นและอึของมันค่ะ
ตัวไรฝุ่นมีอายุประมาณ 2 เดือน ตัวเมียวางไข่ได้ 50-80 ฟอง
ออกไข่มากมายอย่างนี้ มันจึงสามารถเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าได้ ในเวลาแค่ 3 เดือน
เศษโปรตีนจากตัวมัน และจากอึของมัน เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นเหตุสำคัญของโรคหอบหืด และโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ค่ะ
เราพบว่า ผู้ที่อยู่ในบ้านที่มีระดับไรฝุ่นมากกว่า 100ตัว / ฝุ่น 1 กรัม จะมีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ได้มากโดยเฉพาะโรคหอบหืด
และถ้าระดับของตัวไรฝุ่นมากกว่า 500ตัว/ ฝุ่น 1 กรัม จะสามารถกระตุ้นให้คนที่แพ้ไรฝุ่นนี้มีอาการกำเริบได้ โดยเฉพาะอาการหอบในโรคหอบหืดค่ะ
ตัวอย่างที่เห็นบ่อยๆ เช่น ผู้ป่วยโรคหอบหืดที่แพ้ไรฝุ่น จะมีอาการหอบกำเริบหลังปัดกวาดบ้านครั้งใหญ่ที่มีฝุ่นตลบอบอวลค่ะ


               สรุปว่า ตัวไรฝุ่นนี่มันไม่มีดีเอาซะเลย เพราะนอกจากจะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ที่คงไม่มีใครอยากเป็นแล้ว มันยังกระตุ้นให้อาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ กำเริบได้อีก

 
 

        

 
 

               การกำจัดไรฝุ่น

 
 

               วัคซีนจะถ้าต้องการกำจัดมัน เริ่มลุยที่ห้องนอนกันก่อนเลยค่ะ เพราะมันชอบอยู่ในที่นอน หมอน มากกว่าที่อื่นๆ และถ้าจัดการมันสำเร็จ                เราก็ปลอดจากมันไปได้วันละ 6-8 ชั่วโมงเท่าเวลานอนของเราค่ะ
เริ่มด้วยยุทธวิธีโอบล้อม เพื่อไม่ให้มันเล็ดลอดออกมาเล่นงานเราได้ ด้วยการคลุมที่นอน และเครื่องนอน เช่น หมอน หมอนข้าง ด้วยผ้าหุ้มกันไรฝุ่น ผ้านี้จะผลิตมาเป็นพิเศษให้เส้นใยชิดกันมาก จนไม่ยอมให้ไรฝุ่นและอึของมันที่ว่าเล็กกระจิ๋วหลิวนั้น ลอดผ่านขึ้นมาจากที่นอนขึ้นมาหาเราได้ ให้เอาผ้าที่ว่านี้หุ้มที่นอน และหมอน รวมทั้งหมอนข้าง ก่อนที่จะปูผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนลายสวยๆ ค่ะ
อันที่จริงเราอาจใช้พลาสติกหุ้มที่นอนและหมอนแทนผ้านี้ก็ได้ แต่มักจะร้อน นอนไม่สบาย พลิกตัวก็เกิดเสียงดัง ใช้ผ้าหุ้มกันไรฝุ่นจะสบายกว่ากันเยอะค่ะ แล้วยังอาจประหยัดค่ายารักษาโรคอีกด้วย
เมื่อจัดการไม่ให้มันเข้าถึงตัวเราได้แล้ว ขั้นต่อไปคือใช้ความร้อนฆ่ามันค่ะ เรารู้ว่ามันจะตายถ้าโดนความร้อน 55-60 องศาเซลเซียสขึ้นไป
               การซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน จึงควรซักด้วยน้ำร้อน 55-60 องศาเซลเซียส โดยซักทุกสัปดาห์
วิธีนี้จะฆ่าตัวไรฝุ่นได้ 100%
               การซักด้วยน้ำเย็นไม่สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นได้ แม้จะใช้ผงซักฟอกด้วยก็ตาม ได้แค่เพียงล้างไรฝุ่นออกเท่านั้น ไรฝุ่นที่เหลืออยู่จะก่อโรคได้ใหม่เมื่อนำผ้านั้นกลับมาใช้อีก
ส่วนการซักแห้งนั้นถึงจะฆ่าตัวไรฝุ่นได้ แต่ไม่สามารถลดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นลงได้ เพราะโปรตีนจากซากมันยังอยู่ ไม่ได้ถูกชะล้างออกไปค่ะ
เอาที่นอนไปตากแดดบ้างจะดีไหม ก็ดีค่ะ แก้เรื่องอับชื้นได้บ้าง แต่วิธีนี้กำจัดไรฝุ่นไม่ค่อยได้หรอกนะคะ เพราะพอที่นอนด้านบนโดนแดดร้อน ไรฝุ่นมันก็เดินหนีลงไปข้างล่าง ไม่ยอมตายง่ายๆค่ะ
               การเลือกซื้อหมอนนี่ก็สำคัญ ควรใช้หมอนที่ทำจากใยสังเคราะห์ เช่น dacron จะได้ซักได้ อบได้
ไม่ควรใช้หมอนที่ทำจากขนสัตว์ต่างๆ นุ่น หรือฟองน้ำ เพราะไรฝุ่นมันชอบค่ะ
ถ้าจะให้ดีเปลี่ยนหมอนปีละใบก็จะดีนะคะ แล้วอย่าลืมหุ้มด้วยผ้ากันไรฝุ่นอีกชั้น
ส่วน ผ้าห่ม ดูง่ายๆว่าเลือกชนิดที่ไม่สะสมขี้ฝุ่น ขนไม่หลุด ซักน้ำร้อนได้ แห้งเร็ว จะเหมาะที่สุด
ไม่ควรใช้แบบที่ทำจากขนสัตว์ ผ้าสำลีค่ะ
ผ้านวมเลือกแบบไส้เป็นใยสังเคราะห์ พวกไส้เป็นนุ่นไม่ดีค่ะ ไรฝุ่นชอบอีกเหมือนกัน
               เดี๋ยวนี้มีปลอกกันไรฝุ่นไว้สวมผ้านวม ในรายที่แพ้ไรฝุ่นแน่นอนก็น่าใช้นะคะ สะดวกดี
หรือจะนำผ้านวมไปซักน้ำร้อนทุก 1 –2 สัปดาห์เพื่อฆ่าและล้างโปรตีนของไรฝุ่นออกไปค่ะ
               การทำความสะอาดบ้าน โดยเฉพาะห้องนอน ใช้วิธีถูด้วยผ้าหมาดดีที่สุด เพราะไม่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
ควรถูทุกวันให้ทั่วถึง ทั้งใต้เตียง หลังตู้
เก็บเอาของที่ไม่จำเป็นออกจากห้องนอนเสียบ้าง เพื่อให้ห้องนอนโปร่ง โล่ง สบาย ง่ายต่อการทำความสะอาด และไม่เป็นที่สะสมฝุ่น
ไม่ควรมี ตุ๊กตา ตู้หนังสือ ผ้าม่านหนาๆ
ถ้าคนที่เป็นภูมิแพ้ต้องทำความสะอาดบ้านเอง ควรปิดปาก ปิดจมูกให้ดีระหว่างทำความสะอาด

 
 

               การดูดฝุ่น สมัยนี้มีเครื่องดูดฝุ่นชนิดพิเศษ ที่โฆษณาว่าดูดไรฝุ่นได้จากที่นอน หมอน พรม ราคาแพงจนถึงแพงมาก พวกนี้มีการศึกษาว่าใช้ได้ผลบ้างพอประมาณ แต่อย่าลืมว่าไรฝุ่นมันเดินหนีได้นะคะ ดูดข้างบนมันก็หนีไปข้างล่าง เลิกดูดมันก็ขึ้นมาใหม่ มิหนำซ้ำยังออกลูกออกหลานกันรวดเร็ว เหลืออยู่ไม่กี่ตัวมันก็ออกลูกเต็มบ้าน ออกหลานเต็มที่นอนได้ใหม่ในเวลาไม่ช้าไม่นาน วิธีดูดฝุ่นด้วยเครื่องดูดพิเศษนี้ จึงต้องหมั่นดูดกันประจำทั้งที่นอน หมอน เป็นการเพิ่มภาระงานให้แม่บ้าน เหมาะกับแม่บ้านแสนขยันเท่านั้นค่ะ แต่หมอนิตเป็นแม่บ้านขี้เกียจ จึงไม่ได้ใช้วิธีนี้ ใช้ผ้าคลุมกันไรฝุ่นคลุมที่นอน หมอนเอาง่ายกว่า สะดวกกว่า เพราะซักด้วยเครื่องซักผ้าก็ได้ค่ะ
เครื่องฟอกอากาศ นี่ก็มีคนถามบ่อยๆว่าจะซื้อดีไหม เนื่องจากเรารู้ว่าตัวไรฝุ่นมีน้ำหนักค่อนข้างมาก มันลอยอยู่ในอากาศได้ไม่นานก็ตกลงสู่พื้น ในความเห็นของแม่บ้านยุคประหยัดอย่างหมอนิต การใช้เครื่องฟอกอากาศเพียงเพื่อหวังกำจัดไรฝุ่นอย่างเดียว จึงไม่ใช่การใช้เงินอย่างถูกทางนัก ยกเว้นแต่ว่าจะแพ้สารอื่นๆอีกหลายตัวนอกเหนือจากไรฝุ่น อย่างนั้นจึงสมควรซื้อค่ะ เครื่องฟอกอากาศที่ได้ผลดีในคนป่วยโรคภูมิแพ้ ควรเป็นชนิด HEPA ซึ่งทำงานโดยการกรองเอาสิ่งต่างๆออกจากอากาศ โดยไม่ปล่อยประจุไฟฟ้าหรือ โอโซน ออกมาค่ะ
ไม่ควรปูพรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องนอน เพราะพรมก็เป็นแหล่งสะสมไรฝุ่นเหมือนกัน
               ใครที่เป็นภูมิแพ้ ปลูกบ้านใหม่อย่าปูพรมเลยค่ะ
ติดแอร์จะช่วยอะไรได้บ้างไหม คนไข้ชอบถาม ในบ้านคนกรุงเทพ เมืองแห่งฝุ่นและควันพิษนี่ หมอนิตว่าปิดหน้าต่าง เปิดแอร์นอนก็ดีนะคะ เป็นการหลีกเลี่ยงฝุ่นและควันพิษจากนอกบ้าน แล้วยังได้นอนเย็นสบายด้วย แต่อาจร้อนรุ่มจากค่าไฟฟ้าแทนก็ได้ค่ะ อ้อ อย่าลืมล้างแผ่นกรองฝุ่นของเครื่องปรับอากาศทุกสัปดาห์ด้วยค่ะ
เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
               ม่าน ไม่ควรใช้ม่านหนา หนัก หลายชั้น เพราะจะไม่ค่อยได้เอามาซัก
ควรใช้ม่านบาง ถอดไปซักน้ำร้อนบ่อยๆ เอาง่ายๆก็แบบผ้าบังตายุคโบราณก็ได้ค่ะ
หรือจะใช้มู่ลี่พลาสติกไปเลยก็ดูแลสะดวก
               โซฟา เก้าอี้ ควรทำจากไม้ หรือหนัง มาจากทำจากผ้า เพราะจะเช็ดทำความสะอาดได้ดีกว่า
หมอนอิง ตุ๊กตาผ้าหรือพวกขนปุยๆ ไม่ควรมีในห้องนอนคนไข้แพ้ไรฝุ่นค่ะ
หากใครทำทุกอย่างตามนี้แล้ว อาการของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือหอบหืดยังไม่ดีขึ้น เห็นทีต้องพบแพทย์โรคภูมิแพ้แล้วละค่ะ เพราะอาจแพ้อย่างอื่นนอกเหนือจากไรฝุ่น หรือโรคอาจเป็นมากจนต้องใช้ยาช่วยรักษา ไม่ว่าจะเป็น ยากิน ยาพ่น หรือยาฉีด ทั้งนี้แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์ค่ะ ขออย่างเดียว อย่าสิ้นหวังหรือขี้เกียจรักษา เพราะผลการรักษาของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และโรคหอบหืดนี่ดีมากค่ะ ถ้ารักษาได้ถูกทางนะคะ ตัวอย่างใกล้ตัวที่สุดก็หนูหนึ่งลูกสาวของหมอนิตเองนี่แหละ ตอนนี้แข็งแรงไปแล้วค่ะ

 
 

        

 
 

               สงวนลิขสิทธิ์ โดย

 
 

               พญ. สิรินันท์ บุญยะลีพรรณ และ ผศ.นพ. เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ

 
 

         

 
 

         

 
 

Copyright©08  allergyasthmathailand.com all rights reserved

 
 

หน้าหลัก l คลินิก l โรคภูมิแพ้ l หนังสือ l ผลิตภัณฑ์ l แพทย์ l แผนที่